วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

ล่องแก่งน้ำว้า ..... ตำนานที่มิอาจลืมเลือน







อารมณ์นี้สุดๆ กับจังหวะเรือติดแก่งเดือดพล่าน


............ โน่น..ตรงโน้นแหละลำน้ำว้าที่เราจะไปพักกันคืนนี้  เราต้องเดินลงทางชันแค่แป๊บเดียวเองครับ”.........


บุญเธียร ชี้ให้เราดูลำน้ำว้าที่ไหลทอดโค้งอยู่ในหุบด้านล่าง  อีกฟากหนึ่งเป็นดอยสูงในระดับเดียวกับดอยม่อนผีตายที่เราได้เดินขึ้นมาถึงสันดอยด้านบน  เรารู้สึกโล่งใจเอามากๆที่ได้บากบั่นความยากลำบากแสนเข็ญจนมาถึงยอดบนสุดของดอยม่อนผีตาย ที่มีร่มเงาของหมู่ไม้ก่อจำนวนมาก
ด้านหัวดอยด้านโน้นเคยเป็นสนามบินเก่าของทหารเอา . มาลงในสมัยกวาดล้างคอมมิวนิสต์ มีอยู่ครั้งหนึ่งมีหญิงม้งท้องแก่มาคลอดลูกบนสันดอยตรงนี้เอง




ความดุดันของสายน้ำว้าในยามที่เรือยางกระโจนลงแก่ง

ลุงแก่น  ตาสุขะ  เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินตรงนี้  เราก็ได้เห็นสันดอยแคบๆโล่งเตียน  คือ สนาม .เก่าซึ่งเป็นบริเวณที่สามารถมองเห็นลำน้ำว้าในหุบเขาด้านล่างได้อย่างชัดเจน  แนวป่าสีเขียวทึบ ทำให้เรามีความรู้สึกว่าความเร้นลับแห่งป่านี้ยังมีอะไรอยู่มากมาย  เพียงเราจะต้องสืบค้นดู เพียงแค่นั้นเอง  ถัดไปอีกลิบลับ ซึ่งแลเห็นเป็นแนวเทือกดอยสลับซับซ้อนทางลุงแก่นบอกว่าเดินไปอีกไม่ไกลก็จะเป็นชายแดนลาว  มีแนวเทือกเขาเป็นแนวแบ่งเขต  พอรู้จากคนนำทางว่าถ้าจะเดินไปก็ไม่ยาก  เมื่อถึงน้ำตกภูฟ้าแล้วก็ไม่อีกไม่ไกล  แต่นั่นแหละ  เราจะไปทำไมกัน  กับแค่เดินข้ามม่อนผีตายก็จะตายอยู่แล้ว


สายหมอกยามเช้าที่ลำนำ้หมาว

ประมาณเกือบชั่วโมงที่เราใช้เวลาจากสันดอยลงถึงลำน้ำว้า  ซึ่งมีลักษณะเป็นลำน้ำกว้าง ใสสะอาดบางช่วงก็ดูลึก บางช่วงก็ตื้นจนมองเห็นพื้นล่างที่เป็นหิน เป็นกรวด ตรงบริเวณหาดทรายทางตอนล่างมาเล็กน้อยจะมีร่องรอยแค้มป์พักของคนแรมทางทั่วไปที่ผ่านทางมาถึงที่แห่งนี้.........


นี่คือ บทบันทึกการเดินทางช่วงหนึ่งที่ผมได้ไปค้นหาความงามธรรมชาติ “น้ำตกภูฟ้า” ที่ซ่อนเร้นอยู่ในป่าลึกของเทือกเขาหลวงพระบาง ติดชายแดนประเทศลาว และในวันนั้น ทำให้ได้รู้จักกับ “ลำน้ำว้า” จนกลายเป็นลำน้ำสำหรับการล่องแก่งผจญภัยที่สุดยอดที่สุดของเมืองไทย



น้ำตกภูฟ้าชั้นที่ 12 ที่ต้องลุกลั่นปีนป่ายไปจนถึง

จากวันนั้น ที่เราบุกบั่นเข้าไปในป่าลึก กับวันเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลาอันยาวนาน มีการเริ่มต้นล่องแก่งน้ำว้า จากน้ำว้าตอนล่าง มาเป็นน้ำว้าตอนกลาง แล้วมาเป็นน้ำว้าตอนบน ซึ่งจะมีระดับความยากจากง่ายๆ ไปปานกลาง และยากมากๆ คือ น้ำว้าตอนบน ส่วนน้ำว้าตอนกลาง จะเป็นช่วงที่สนุกที่สุด
ผมล่องทุกช่วงแล้ว เอาเป็นว่า ถ้าจะเลือกล่องแก่งน้ำว้า ก็ต้อง ขอเลือกน้ำว้าตอนกลาง ด้วยเหตุผลว่า แก่งเยอะ ใหญ่ สนุก ไม่อันตรายมากนัก ป่าสวย.....และถ้าเป็นปลายฝนต้นหนาว น้ำว้าจะใส สวยมากๆ....




สายหมอกในลำน้ำหมาวกลางป่าน้ำว้า

ความทรงจำเก่าๆในครั้งสมัยโน้น ผมต้องเดินขึ้นม่อนผีตาย ขนาดผียังตาย แล้วคนจะไม่เหลือหรือครับ ขึ้นเขาชันยาว แล้วลงดิ่งลงลำน้ำว้า  ข้ามน้ำว้าแล้วไปขึ้นเขาชันอีกลูกหนึ่ง แล้วลงดิ่งอีกครั้ง กล้ามเนื้อขาอักเสบ ตอนขึ้นสำรวจน้ำตกภูฟ้า ต้องปีนไต่หน้าผาชันไปจนถึงชั้นบนสุด แล้วขากลับลงมาไม่ได้ ต้องตัดข้ามเขาไปอีกทางหนึ่ง ในงานนั้นผมรู้เลยว่า ข้าวลิงเป็นแบบไหน
คือกล้วยป่าสุกๆ ที่แน่นไปด้วยเม็ดใน ผมต้องกินด้วยความหิว หมดแรงจนแทบเดินไม่ได้เลย ก็ต้องกินทุกอย่างครับ


เจอแก่งสนุกสุดมันส์......

มาถึงวันนี้ การเดินทางสู่สายน้ำว้าก็จัดเป็นรูปแบบการล่องแก่งผจญภัย โดยเฉพาะตอนกลาง ที่ผมได้กลับมาเยือนกันอีก ในเที่ยวนี้ก็ต้องบอกว่าจัดเต็ม ทั้งเรือยาง อุปกรณ์ชูชีพ ถุงกันน้ำเสื้อ ถุงกันน้ำอุปกรณ์กล้องถ่ายภาพต้องเลือกเฟ้นหาในสิ่งดีๆ หากได้เลือกจัดหาทัวร์ล่องแก่งที่มีคุณภาพอย่าง “น่านทัวร์ริ่ง” เพราะเขาเลือกใช้อุปกรณ์ที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า ทั้งทีมงานที่แกร่ง ชำนาญเส้นทาง ชูชีพ มีสเป็กคุณภาพสูง แม้ดูจะเก่าไปหน่อย แต่จัดว่าดี หรือจะเป็นถุงกันน้ำ Ocean Pack 40 ลิตร จากคารานา มอบให้ลูกค้าใส่ข้าวของ แพ็คป้องกันน้ำอย่างดี หรือจะเป็นเต็นท์ ถุงนอน ก็เลือกเต๊นท์ขนาดใหญ่จากคารานาเช่นกัน



เสื้อผ้าสัมภาระต่างๆ จัดใส่ถุงกันน้ำของ Karana ป้องกันน้ำได้แน่นอน


สำหรับผมก็ได้เป้กันน้ำจากคารานา ในรุ่น Ocean Pack 15L (Backpack) ใส่กล้อง 1 ตัว เลนส์อีก 2 ตัว ซึ่งมั่นใจว่า......เอาอยู่แน่นอน


เตรียมพร้อมเดินทาง




พักทานข้าวระหว่างทาง



ต้องอิ่มท้อง เพื่อเติมพละกำลังล่องแก่ง


อิ่มท้องแล้ว.....สู้ตาย

ของจริงที่ต้องที่น้ำว้า

การเริ่มต้นล่องแก่งน้ำว้าตอนกลาง ได้เริ่มจากบ้านสบมาง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของชุมชนที่ตอบรับกิจกรรมท่องเที่ยวล่องน้ำว้า อย่างเต็มรูปแบบ มีเรือยางของชุมชน มีรีสอร์ท มีร้านอาหาร ต่างกับเมื่อก่อน ในยุคบุกเบิก ชาวบ้านมองเห็นกลุ่มล่องเรือยางเป็นเรื่องแปลก

“ล่องไปทำไมกัน เมื่อเดือนที่แล้ว มีชาวบ้านล่องแพไปตายที่แก่งเสือเต้น”




.....เป็นคำบอกเล่าที่กระตุ้นความรู้สึกตื่นกลัวกับการมาล่องน้ำว้าตอนกลางในครั้งแรก เราไม่เคยล่องมาก่อน มีแต่เพื่อนทหารพราน ชื่อ อำนาจ ที่เคยล่องมาก่อน รับอาสานำพากันไปค้นหาความท้าทายบนสายน้ำว้าในช่วงกลางฤดูฝนที่มองเห็นสายน้ำขุ่นๆ ไหลเชี่ยวกรากอยู่เหมือนกัน
แก่งเสือเต้น....มีลักษณะเป็นโตรกผาสูงชันทั้งสองฝั่ง มีแก่งระดับ 2-3 ไม่ยากและไม่น่ากลัวที่คิด แต่เราก็ต้องระวังเป็นพิเศษ มีการสำรวจร่องน้ำ ก่อนจะนำเรือลงไป
มาถึงวันนี้ ในช่วงปลายฤดูฝน น้ำว้าเริ่มใสขึ้นมาบ้าง เราอาศัยมืออาชีพจากน่านทัวร์ริ่ง จึงดูว่าแก่งเสือเต้นเป็นเรื่องธรรมดามากๆ




โตรกผาแก่งเสือเต้น


ผ่าน แก่งเสือเต้น ที่มีชื่อน่าเกรงขาม ไปอย่างชิลๆ เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดกระตุ้นต่อมแอดเวนเจอร์ได้ไม่น้อย  จนกระทั่งมาถึง แก่งห้วยเดื่อ  จะเป็นแก่งขนาดใหญ่พอสมควร ระดับ 3+  มีลักษณะเป็นน้ำตกขนาดเล็ก จึงเกิดไฮโดร เป็นน้ำดูดที่อันตรายพอสมควร เป็นแก่งที่ร่ำลือถึงประวัติของเรือยางที่ลงแก่งแล้วโดนพิษกระแสน้ำไฮโดรเล่นงานจนพลิกคว่ำไปก็มี



ลีลาก่อนลงแก่ง



มุดเลย



  มุดแล้วโผล่......

ถัดจากแก่งห้วยเดื่อมาได้ไม่ไกลนัก เราจะพบกับแก่งผีป่าเป็นแก่งขนาดใหญ่อีกแก่งหนึ่งลำน้ำว้า มีระดับความยาก 4 ขึ้นไป ตามปริมาณของน้ำ ในการสำรวจครั้งแรกที่ทีมสำรวจบุกเบิกของเราต้องไปลอยคอกลางแก่ง เพราะไปเจอน้ำดูดจนเรือคายักยางพลิกคว่ำ ตัวคนลอยไปตามกระแสที่เชี่ยวกรากไหลเข้าไปใต้โตรกผา แต่ก็ปลอดภัย ส่วนเรือคายักยางลำดังกล่าวกลับดิ้นไปดิ้นมาอยู่กลางแก่ง ไม่ยอมหลุดจากวังวนกระแสน้ำซะที



น้ำบังหน้าหมดเลย


ยังยิ้มกันอยู่


พก Go Pro มาด้วย




ยังยิ้มระรื่น


ในวันนั้น “แก่งผีป่า” อาจเป็นฝันร้ายสำหรับทีมงานสำรวจของเรา และเป็นการสร้างความรอบคอบให้กับมากขึ้น มีการลงไปสำรวจหน้าแก่งทุกแก่ง ว่ามีอะไรกีดขวางมั้ย จะเข้าร่องไหน ออกช่องไหน พร้อมหาวิธีการแก้ไข เพื่อความปลอดภัยกับการสำรวจในครั้งนั้น

สำหรับวันนี้ แก่งผีป่า จึงเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว เรือยางผ่านไปได้ทุกลำ เรียกเสียงกรี๊ดดังลั่นแข่งกับสายน้ำที่เกรี้ยวกราด แต่ก็มีบางลำไปเกิดเรื่องในเรื่องง่ายๆ กับแก่งง่ายๆ เช่น เรือติดหิน ลูกทัวร์ตกน้ำ ตอนทีเผลอ เมื่อเรือสะบัดตอนลงแก่ง ก็เก็บกู้ขึ้นอย่างปลอดภัยทุกคน


ตกน้ำซะแล้ว

สบหมาว สู่ภูฟ้า

เราเดินทางล่องแก่งน้ำว้ามาหลายครั้ง ในทริปหนึ่งที่เรามาหยุดพักค้างแรม ปากห้วยหมาวหมอกที่ไหลบรรจบน้ำว้า ที่ทีมสำรวจได้เลือกตั้งแค้มป์บริเวณแนวหาดทราย  เป็นทำเลกางเต็นท์ที่ดี   มีบรรยากาศอย่างยอดเยี่ยม เช้าวันรุ่งขึ้น ท่ามกลางความหนาวเหน็บ เราจะออกเดินทางทวนสายน้ำหมาวหมอกขึ้นไป เพื่อค้นหาน้ำตกภูฟ้าที่ไหลมาจากแนวป่าทึบ     



 เดินทวนตามสายน้ำแล้วตัดขึ้นเขาลูกเล็กๆ แล้วลงห้วยอีกครั้ง แล้วตัดขึ้นเขาอีกครั้ง เที่ยวนี้เป็นเขาที่สูงชันมาก ขึ้นถึงยอดเราสามารถมองลอดแนวป่าไปก็จะเห็นแนวน้ำตกภูฟ้าไหลลลงจากยอดเขาสูง น้ำตกภูฟ้าแห่งนี้จะมีความสูงชัน รวมชั้นน้ำตกมีด้วยกันถึง 12 ชั้น ซึ่งการเดินทางมาหนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะขึ้นไปได้กี่ชั้น (ครั้งแรกที่เดินป่าไปเจาะหาน้ำตกภูฟ้า ก็ต้องใช้เวลาไปกลับหนึ่งวันเต็มๆ) 
ลงสู่ลำห้วยหมาวหมอกอีกครั้ง แล้วลงไปจนถึงห้วยภูฟ้าที่เราสามารถมองเห็นน้ำตกภูฟ้าชั้นแรกได้เลย โดยบริเวณหน้าน้ำตกชั้นแรกจะเป็นแอ่งน้ำขนาดกว้าง น้ำตกที่ไหลลงมาเป็นสายยาว มีความสูงพอประมาณ ถัดขึ้นไปปลายยอดน้ำตกก็จะเป็นชั้นน้ำที่ 2-3 ไหลต่อเนื่องลงมา เมื่อปีนขึ้นไปชั้นบนก็สามารถมองเห็นได้ชัด แต่ว่าถ้าจะขึ้นไปยังชั้นที่ 4 และชั้นถัดไป จำต้องปีนป่ายหน้าผาน้ำตกที่สูงชัน ต่อจากนั้นก็จะถึงชั้นที่ 7-8 อยู่ต่อเนื่อง




น้ำตกภูฟ้าชั้นแรก

ถัดขึ้นไปอีกก็มีสภาพเส้นทางที่ยากลำบาก เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก ต้องปีนหน้าผาขึ้นไป กว่าจะถึงชันที่ 12 ได้ ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว พร้อมกับอุปกรณ์การปีนป่ายเพื่อป้องกันอันตรายด้วย
น้ำตกภูฟ้า ชั้นที่สวยเป็นอันดับแรกคือชั้นที่และช่วงชั้นกลางๆ ประมาณชั้นที่ 7-8 และสวยที่สุดก็เป็นชั้นที่ 12 ไปเลย ดังนั้นการสำรวจค้นหาน้ำตกภูฟ้าก็ต้องใช้เวลาก็ประมาณ 1 วันเต็มๆ และต้องมีทีมสำรวจที่คล่องตัวพร้อมกับอุปกรณ์ช่วยในการปีนผาด้วย



น้ำตกภูฟ้า ชั้นที่ 12 สูงใหญ่มาก ถ่ายไว้ตั้่งแต่เดินป่าบุกเบิกน้ำตกนี้ (ถ่ายด้วยฟิล์ม)


ช่วงบ่าย 3 โมง ที่เราจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายที่พัก ด้วยการล่องน้ำว้าลงไปตอนล่าง ซึ่งจะต้องผ่านโขดแก่งในระดับความยากที่มากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเป็นหลายเท่า และเป็นแก่งที่ตื่นเต้นเร้าใจที่เราไม่ควรพลาด

 อารมณ์แห่งสายน้ำ

สำหรับปลายฤดูในปีนี้ ฝนยังไม่มีทีท่าจะหมดลงไปซะที จึงทำให้ระดับน้ำว้ายังคงระดับสูง กระแสน้ำไหลเชี่ยว จึงทำให้ทริปการเดินทางในช่วงฤดูฝน ใช้เวลา 2 วัน 1คืน โดยมีแค้มป์ที่พักของน่านทัวร์ริ่งปลูกสร้างชั่วคราวไว้



แค้มป์พักริมน้ำว้า กับเต๊นท์คารานา

ถึงที่พักที่มีการปลูกเพิงไม้ไผ่สำหรับเป็นโรงครัว ที่พักทานอาหาร ด้านหน้าจะเป็นที่กางเต๊นท์ ซึ่งทางทัวร์ได้จัดกางเต็นท์ยี่ห้อคารานาขนาดใหญ่ไว้ สลับกับเต๊นท์ขนาดกลาง จึงจัดว่าสะดวกสบายสำหรับทริปผจญภัยแบบนี้
ลูกทริปจะได้รับสัมภาระของตัวเองที่บรรจุในกระป๋ากันน้ำอย่างดีของคารานาเช่นกัน เมื่อแกะสัมภาระออกมา ก็เป็นที่น่าพึงพอใจ เนื่องจากว่า ไม่มีของใครเปียกน้ำ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะมืออาชีพของทีมงานที่เอาใจใส่เป็นพิเศษ ถึงแม้ว่าจะมีถุงกันน้ำก็ตามที แต่ถ้าแพ็คและปิดปากถุงไม่ดี น้ำอาจเข้าไปได้เช่นกัน


บรรยายยามเช้าที่น้ำว้า


ส่วนกระเป๋าเสื้อผ้าของเราก็ไม่มีปัญหา ส่วนกระเป๋ากล้องที่ใส่ Canon 5D Mark III พร้อมเลนส์ 16-35 มม. และ 70-200 มม. รวมราคาแล้วแสนขึ้น ดังนั้นจึงต้องพิถีพิถันการเลือกใช้กระเป๋ากันน้ำให้ดี และเหมาะสมด้วย อย่าง Ocean Pack 15L (Backpack) ใบใหม่ เป็นเป้ขนาดย่อม ใส่อุปกรณ์กล้องได้หมด พร้อมกับคล้องเกี่ยวติดกับเรือไว้ด้วย ในตำแหน่งที่หยิบใช้ได้สะดวก

แม้ว่าจะเป็นช่วงยามหน้าฝน ในผืนป่าลึกกลางหุบน้ำว้า ก็มีอากาศหนาวเย็น เสื้อกันฝนของคารานา ก็สามารถนำมาใช้กันลมได้ด้วย เพราะยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นหมู่ดาวเป็นผืนฟ้า พร้อมกับกลุ่มทางช้างเผือกที่พาดโค้งเหนือยอดเขาสูง



ที่พักค้างแรม




ทางช้างเผือกเหนือน้ำว้า

เช้าวันรุ่งขึ้น มีม่านหมอกแผ่คลุมร่องหุบลำน้ำ จนกระทั่งสาย หมอกจึงเริ่มสลายไปพร้อมกับไออุ่นจากแสงแดด
ทานข้าวเช้าเสร็จ จัดสัมภาระลงกระเป๋าน้ำ ให้ทีมงานนำไปจัดวางในเรือให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมตามแต่ละลำ พร้อมขึงตาข่ายยาง รัดคลุมสัมภาระทั้งหมดอย่างแน่นหนา ส่วนกระเป๋ากล้องใน Ocean Pack 15L ก็ใช้ตะขอเกี่ยวเอาไม่ให้หลุดหายไปไหนได้ ส่วนกล้องกันน้ำอย่าง Go Pro ก็มีเชือกผูกติดไว้ ไม่ให้หลุดไปไหน ฉุกเฉินยังไง ก็คว้ามาบันทึกภาพกันได้
อุปกรณ์ถ่ายภาพในยุคสมัยนี้ ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้มากขึ้น กล้องกันน้ำอย่างดี คุณภาพไฟล์ดี ที่เราสามารถเลือกนำมาใช้ได้ในทุกสภาพพื้นที่




ออกจากที่พัก ก็ผ่านแก่งขนาดปานกลาง บ้างก็เป็นแก่งขนาดใหญ่ยาวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรือยางมุดแหวกฝ่าเกลียวแก่งไปอย่างเร้าใจ ทุกคนช่วยกันจ้วงพายเพื่อฝ่าฟันให้หลุดพ้น



 มาถึง แก่งผารถเมล์ เป็นแก่งระดับ 4 + มีโขดหินที่ลดระดับคล้ายน้ำตก มีโขดหินเป็นโหนกอยู่ช่องกลาง ด้านข้างจะเป็นร่องน้ำ กัปตันเรือชะลอเรือให้เข้าร่องกลาง ส่งสัญญาณให้หัวเรือบังคับเรือให้ผ่านบนโหนก อย่าลงไปตามร่องด้านข้าง เพราะอาจทำให้เรือพลิกคว่ำได้เลย
ความตื่นเต้นกับแก่งผารถเมล์ จัดว่าน่ากลัวไม่น้อย แต่เรือสามลำแรกได้ลงแก่งผ่านไปฉลุย แลดูไม่ยากอย่างที่คิด จนกระทั่งเรือยางได้พุ่งลงแนวกลาง แต่เป็นเรื่องบังเอิญว่า ท้องเรือไปครูดติดหิน จนทำให้เรือเอียงไปทางขวา ตกร่องน้ำ.....



กำลังชุลมุนกับการกู้เรือ


......คว่ำแน่นอน.....และดันคว่ำทางทางขวา ด้านที่ผมนั่งอยู่ด้วย ลักษณะแบบนี้จะโดนเรือพลิกทับเรา และเราต้องติดอยู่ใต้เรือแน่ๆ ....นึกถึงกล้องชุดใหญ่ หลุดไปก็จมหายไปเลยแหล่ะ ยังดีที่เกี่ยวตะขอไว้ เชื่อมั่นว่า Ocean Pack 15L ตัวเก่ง จะเอาอยู่....



ถุงกันน้ำ.....หากไม่มี....จบเลย


ชุลมุนตอนน้ำทะลักเข้าเรือ




Ocean Pack 15L ตัวเก่ง จะเอาอยู่....มั้ย


เหมือนโชคชะตา ฟ้าไม่ได้ทันลิขิต.....เพราะรวดเร็วมาก สองหนุ่มที่นั่งตำแหน่งด้านหน้า ฝั่งขวา 2 คน ได้ร่วงตกน้ำไปแล้ว รายต่อไปอาจเป็นผมก็ได้ ยังดีว่าเอาขาไปซุกไว้ในซอกเรือ ทำให้การยึดเหนี่ยวและทรงตัวดีขึ้น ยังเอาอยู่  ไม่ร่วงตกน้ำ
จังหวะที่สองคนตกน้ำไปแล้ว ทำให้น้ำหนักของเรือ ด้านขวาเบาขึ้น ทำให้เรือดีดตัวกลับขึ้นมาในระนาบปกติ



ทว่า....ปริมาณจากแก่งไหลทะลักมาท่วมท้นเรือ  ทุกคนในเรือเมื่อตั้งหลักได้แล้ว ก็ช่วยกันขยับ ช่วยกันขย่ม เพื่อให้เรือขยับเขยื้อน มือหนึ่งจับพาย มือหนึ่งจับเชือก กัปตันเรือพยายามเต็มที่แล้วยังไม่ขยับ เพราะน้ำได้ไหลทะลักถล่มลงมาอย่างน่ากลัวมาก แกพยายามเอาขายันโขดหิน แต่ไม่ทานกระแสน้ำที่ไหลแรงมาก จะไปยืนบนโขดหินก็ไม่ได้.....ยากจริง



กล้องบันทึกไว้ ขณะเรือจะคว่ำ

ผมมองเห็นกระเป๋ากล้องของผมกำลังดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเรือ พร้อมกับน้ำที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังมีดีที่มีตะขอเกี่ยวไว้ หากหลุดไปก็จมน้ำแน่นอน เมื่อทุกคนเริ่มมีสติ เพื่อนร่วมชะกรรม ได้ช่วยคว้าจับกระเป๋าเอาไว้ ส่วนผมก็ควานหาเชือกที่ผูกกล้อง Go Pro เพื่อหยิบขึ้นมาบันทึกภาพวิดีโอ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นภาพที่สุดระทึกทีเดียว และอาจมีภาพหลุดๆ ตอนที่เรือกำลังจะพลิกด้วย
ผ่านไปหลายนาทีที่เรายังติดอยู่กับสายน้ำเดือดทะลัก มองเห็นน้ำไหลถล่มลงกลางลำเรือ ท่วมข้าวของสัมภาระทั้งหมด คือ ทุกอย่างจมอยู่ใต้น้ำ เราก็ต้องอาศัยนวัตกรรม Ocean Pack ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อกิจกรรมแบบนี้โดยตรง 




บรรยากาศบอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น


ข้าวของทุกอยู่ยังอยู่ในเรือ ไม่หลุดลอยออกไป เพราะทีมงานเขามีประสบการณ์ในการแพ็คของเป็นอย่างดี ส่วนสองคนนั้นหลุดลอยไปอย่างปลอดภัยไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่น่าเป็นห่วง ก็คนที่ติดอยู่บนเรือนี่แหล่ะ


นำ้ทะลักท่วมเต็มเรือ....ดูสีหน้าสาวชมพู่....สิ

เมื่อขย่มแล้วไม่ขยับ ก็คิดแก้ปัญหาว่าสาเหตุว่า เรือติดโขดหินตำแหน่งท้องเรือ ค่อนไปทางท้ายๆ จึงหาวิธีแก้ปัญหา ด้วยการถ่ายน้ำหนัก โดยให้วีระสตรีอันห้าวหาญสองคนจากด้านท้ายเรือ ย้ายไปนั่งตรงตำแหน่งหัวเรือ เพื่อให้น้ำหนักเรือส่วนท้ายเบาขึ้น และเพิ่มน้ำหนักด้านหัว แล้วช่วยกันขยับขย่ม จนบังเกิดผล เรือเริ่มขยับลงมาช้าๆ จนหลุดพ้นแล้ว จึงให้วีระสตรีทั้งสองรีบย้ายกลับไปตำแหน่งเดิมอย่างรวดเร็ว ซึ่งแต่ละคนก็สามารถทำได้ จนความรู้สึกหวาดหวั่นกลัวได้เปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มและเสียงเฮ



น้ำถาโถมใส่เต็มเรืออย่างไม่หยุดยั้ง......อารมณ์จากสีหน้าบอกเรื่องราวได้ดี....



ชมพู่....บอกว่า กรูรอดตายแล้ว

สภาพเรือที่หลุดพ้นจากแก่งมาแล้ว แต่น้ำยังท่วมท้นเต็มเรือ สภาพเรือยังกะเรือจม ค่อยๆ ลอยขึ้นมา เนื่องจากน้ำในเรือค่อยระบายออกจากช่องระบายที่พื้นเรือ

หนักๆ สุดๆ แทบขาดใจ......เหนื่อยมากๆ รอดมาได้ ก็เพราะสองคนที่ตกน้ำไปก่อน แท้ๆ ช่วยให้เรือมีน้ำเบา เด้งกลับขึ้นมาในสภาพเดิม
เช็กข้าวของแล้วไม่มีอะไรสูญหาย พายที่หลุดไปกับสองคนก็กลับมาสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมกับเรื่องโม้กันอย่างโล่งอกโล่งใจ



สุดๆ กับอารมณ์ของกัปตันเรือ


เป็นช่วงเวลาของการผจญภัยที่ประทับใจกันทุกคน ความยิ้มแย้ม และความสุขของการล่องแก่งก็กลับคืนมาอีกครั้ง แก่งต่อๆ ไป หวังว่าคงไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
เมื่อผ่านแก่งผารถเมล์มาแล้ว ก็จะเป็น แก่งช้างเหยียบ เป็นแก่งที่มีแนวหินขวางลำน้ำเกือบเต็มลำน้ำ มีช่องทางขวามือ และมีขอนไม้พาดขวาง เราจะต้องเบียดทางด้านซ้ายของร่องน้ำ 


อารมณ์สบายๆ


สนุกสนาน


ตื่นเต้น เร้าใจ



และยังจะมีแก่งระดับ 5 ดาว ที่สุดๆ กับความตื่นเต้นที่เรือทุกลำผ่านไปได้อย่างสนุกสนาน แม้ว่าบางครั้งออกออกลีลาหมุนลำเรือกลางแก่ง หรือเอาท้ายเรือลงแก่งก็มี 
โขดแก่งขนาดใหญ่ในน้ำว้า อย่างเช่น  แก่งใหม่ เป็นแก่งที่ลาดเทยาวต่อเนื่องร่วม 100 เมตร มองเห็นเกลียวสีขาวเป็นฟองฟ่อน พร้อมเสียงครืนๆ ดังกึกก้องคุ้งน้ำ  




ล่องน้ำว้า .....สนุก ตื่นเต้น ได้ตลอดเส้นทาง

ยังจะมี แก่งสร้อย ส่งเสียงครืนอยู่เบื้องหน้า เรือทุกลำต้องจอดแล้วไปดูร่องน้ำ ลักษณะของแนวแก่งจะลาดยาวและชิดหน้าผาด้านขวา พร้อมกับมีขอนไม้ใหญ่ คอยรับอยู่ด้วย เราต้องหลบขอนไม้มาแล้ว ยังต้องหลบโขดหินกลางน้ำอีกก้อนหนึ่ง







เฮฮา....ล่องแก่งน้ำว้า


  จากนั้นอีกไม่นาน ก็เป็น แก่งยาว   เราเห็นเกลียวแก่งที่ดุดัน ไหลคดเคี้ยวไปตามโตรกผาทั้งสอง  เราต้องออกแรงกันจ้วงพายสู้เต็มเหนี่ยว หากเป็นช่วงน้ำเยอะ จัดว่าเป็นแก่งที่ดุดันอยู่ไม่น้อยทีเดียว
 สุดปลายทางที่ วังลุน ซึ่งทุกคนประสบความสำเร็จกับการเดินทางล่องแก่งน้ำว้าที่ต้องบอกกกันว่า....ลำน้ำว้าแห่งขุนดอยเมืองน่าน คือ ที่สุดของที่สุดในการล่องแก่งของเมืองไทย....ครับ





ติดต่อล่องแก่ง......น่านทัวร์ริ่ง โทร.081 961 7711 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น